ถอดเทปหลวงตาม้าตอบปัญหาธรรม วันที่ 5 มิ.ย.2559 ที่ บ้านสวนณราพรรณ์ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์
โดย : ณัฐกาญจน์ พันธุ์สุรินทร์
แม่ชี : กราบนมัสการหลวงตาและพระภิกษุทุกรูปนะคะ และอนุโมทนาสาธุบุญกับทุก ๆ ท่านค่ะ ที่ได้รับฟังธรรมะจากหลวงตาม้าในวันนี้ค่ะ วันนี้วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พุทธศักราช 2559 ค่ะ วันนี้ถ่ายทอดสดเสียงค่ะ ที่บ้านสวนณราพรรณ์ อยู่ที่บ้านหนองไร ตำบลนาเฉลียง อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบรูณ์นะค่ะ ตารางการเดินทางของหลวงตาคร่าว ๆ ของเดือนนี้ค่ะ วันพรุ่งนี้วันจันทร์ ที่ 6 มิถุนา หลวงตาไปสวดมนต์ตอนเย็นนะค่ะ ที่สถานธรรมพุทธปัญโญ สาขาสันป่าตอง ตำบลยุหวา อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ที่สถานธรรมที่สันป่าตองนี่นะค่ะ เป็นที่ประดิษฐานหลวงปู่ดู่ หน้าตัก 5 เมตร เนื้อทองเหลือง ที่เรากำลังจะหล่อกันในวันที่ 3 กรกฎา ญาติธรรมสามารถร่วมบุญได้กิโลเอ่อ ทองเหลืองกิโลกรัมละ 999 บาท หรือจะทำตามกำลังศรัทธาก็ได้นะค่ะ พวกเราลูกหลานหลวงปู่หลวงตานะค่ะ ช่วยกันคนละนิดคนละหน่อย ให้หลวงปู่ 5 เมตร เนื้อทองเหลืองใหญ่ที่สุดจะสำเร็จได้อย่างง่ายดายและราบรื่นนะคะ และในวันที่ อังคารที่ 7 มิถุนาค่ะ ในตอนเช้าจะมีหล่อพระที่เชียงใหม่นะคะ ที่โรงหล่อกุลวัฒนาค่ะ ตำบลแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ตอนประมาณ 9 นาฬิกาค่ะตอนเช้าค่ะจะมีเททองหล่อพระจักรพรรดินะค่ะ ยืนสูงประมาณ 1 เมตร 10 นะค่ะ จำนวน 1 องค์เป็นเปิดโลกนะค่ะ ส่วนตอนเย็นค่ะหลวงตาจะเดินทางไปที่ครูบาสุวัจน์นะค่ะ สวนปฏิบัติธรรมสุสานท่าจักรวิริยะธโร สาขา 9 จังหวัดลำพูน สวดมนต์ตอนเย็นจนถึงสามทุ่มครึ่ง สามทุ่มนะค่ะเวลาโดยประมาณค่ะ และในวันพุธที่ 8 ค่ะ มิถุนาค่ะ ตอนเช้านี่นะค่ะ ประมาณ 9 นาฬิกาจะมีเทปูนหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่ค่ะ ที่วัดป่าธาราภิรมณ์นะค่ะ จะจัดกิจกรรมทุก ๆ เดือนจนกว่าหลวงปู่จะเทเสร็จนะค่ะ เป็นเนื้อปูนนะค่ะ ในวิหารจักรพรรดิในวัดป่าธาราภิรมย์แล้วตอนเย็นก็สวดมนต์ที่นั่นนะค่ะ
หลวงตา : ใครมีพระก็มาบรรจุได้นะ
แม่ชี : ระหว่างที่ขนปูนนะค่ะพระผงองค์เล็กๆ แล้วก็จะรวมอยู่ในเป็นองค์หลวงปู่ หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวดนะค่ะ สามารถส่งมาได้ที่วัดป่าธาราภิรมณ์นะคะ และในวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายนค่ะ หลวงตาจะมีเดินทางไปที่กรุงเทพมหานครนะค่ะ วัดอรุณราชวร วร ขออภัย วัเอาดแจ้งแล้วกันนะค่ะ วัดเนี่ยะนะคะอยู่บริเวณ
หลวงตา : วัดแจ้ง วัดอรุณ อันเดียวกัน
แม่ชี : ใช่ค่ะ
หลวงตา : วัดแจ้งคือก่อนแจ้ง วัดอรุณ คือก่อนอรุณ
แม่ชี : อรุณราช อรุณราชวรารามค่ะ โอเควัดแจ้งค่ะ ก็สถานที่จัดงานเนี่ยะ จะเป็นบริเวณลานกลางแจ้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาค่ะ หน้าพระปรางค์วัดอรุณ อยู่หน้าพระปรางค์เลยนะค่ะ เออเวลาประมาณ 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่มนะค่ะ วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายนค่ะ วัดแจ้งนะค่ะเชิญญาติธรรมมาสวดมนต์กับหลวงตาด้วยกันค่ะ และในวันที่ 18 มิถุนา เดินทางไปโคราชนะค่ะ ที่วัดศรีบุญญารามค่ะ ตำบลหมูศรี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาค่ะ ตอนเย็นเช่นกันค่ะ และวันเสาร์ที่ 25 ลงใต้นะค่ะ 25 มิถุนาภูเก็ตค่ะ สวดมนต์ตอนเย็นที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตนะค่ะก็อยู่ตรงชั้น 3 ห้องประคุม ห้องประชุมคิงสตาร์กูดสตาฟนะค่ะ จังหวัดภูเก็ตค่ะ รายละเอียดการเดินทางทั้งหมดนะค่ะสามารถติดตามอ่านได้ในเวปไซต์วัดถ้ำเมืองนะดอทคอมค่ะ
หลวงตา : ลูก วันที่ 10 เราไม่บอกเค้าล่ะ ชเวดากองไง สวดมนต์ชเวดากองไง
แม่ชี : ค่ะวันที่ 10 นะค่ะไปสวดมนต์กันค่ะที่พม่าค่ะชเวดากองนะค่ะ ถ้าเกิดน่ะค่ะ
หลวงตา : ใครจะไปก็ไปเลย ไปเจอกันที่ชเวดากองโน่นหล่ะ
แม่ชี : มีที่เดียวนะค่ะ
หลวงตา : ไป ไป ไปทางไหนก็ได้ มัน เค้าจองให้หมดแล้วฮะ
แม่ชี : หลวงตาค่ะ เค้าอยากจะกราบเรียนถามเกี่ยวกับวิธีการใช้ประคำค่ะ ประคำเนี่ยะเวลาสวดมนต์เค้าใช้กันยังไงอะค่ะ
หลวงตา : อ๋อ ไม่ยากหรอกก็เอาประคำออกมาแล้วนับไง จบหนึ่งก็หนึ่งจน
แม่ชี : หนึ่งเม็ด
หลวงตา : หนึ่ง หนึ่งเม็ด ถ้าระหว่างสวด 1 จบเนี่ยะถ้าคิดไปไหนก็ไม่ต้องนับลูกประคำหน่ะ เค้าทำกันยังงั้น
แม่ชี : หมายถึงถ้าในระหว่างจบเนี่ยะคิดไปไหนก็ไม่รู้ก็ห้ามขยับ
หลวงตา : ใช่ ไม่ขยับ ก็อยู่อย่างนั้นหน่ะหืม
แม่ชี : แล้วประคำเค้าบอกว่าเวลาได้ไปมันแข็งนะค่ะหลวงตา
หลวงตา : โอ้โห ใส่แป๊บเดียวอ่อน ฮึๆๆ ลองใส่ไปเหอะ มันยืดนะ ใส่ยังไงก็แข็ง แข็งๆ อะไม่กี่วันก็ยืดแล้ว
แม่ชี : แล้วเห็นประคำมีเม็ดขนาดเล็กขนาดใหญ่ต่างกันยังไงค่ะ
หลวงตา : อ๋อ อ๊อฟชั่นเล็กสำหรับคนชอบเล็ก ๆ ประคำใหญ่เนี่ยมันต้องเช่านะฮะ หรือไม่ก็ ต้อง ต้องขอ ประคำใหญ่หน่ะนะ ประคำเล็กเค้าแจกฟรีนะฮะ
แม่ชี : แจกฟรีเวลาเจอหลวงตาที่วัดถ้ำเมืองนะ
หลวงตา : ใช่ พร้อมกับพระหนึ่งองค์ไง
แม่ชี : หลวงตาค่ะประคำอย่างเดียวไม่มีพระนี้ศักดิ์สิทธิ์มั้ยค่ะ
หลวงตา : ศักดิ์สิทธิ์อยู่ อย่างสร้อยจักรพรรดิ สังวาลย์จักรพรรดิ
แม่ชี : หลวงตามีวิธีการจัดการกับหนังสือธรรมะ หรือพระ รูปพระอะค่ะ ที่เก่าและชำรุดฉีกขาดที่ไม่ได้ใช่ยังไงค่ะ
หลวงตา : อ้อ ปกติคนโบราณเค้าจะเผาแล้วเอาไปผสมกับรักทำลูกประคำฮะ พวกใบลาน พวกหนังสือนี่เค้าจะเผาแล้วก็ไปคลุกกับรักทำลูกประคำ ลูกประคำรักเคยเห็นมั้ย ดำ ๆ นั่นหน่ะ แพงนะแม่ชีไม่ใช่ถูก ๆ นะ เค้าจะเผาแล้วมาคลุกรัก บางคนก็ตัด ตัดเล็ก ๆ แล้วมาคลุกรักแล้วมาปั้น
ศิษย์ : ยางรักเป็นสีอะไร
หลวงตา : ก็เป็นสีดำไง รักนี่แหละ ถ้าใครแพ้ก็เอาเรื่องเหมือนกันอะ
ศิษย์ : ครับ
หลวงตา : ถ้าใครไม่แพ้ก็ไม่เป็นไร
แม่ชี : รักคืออะไรค่ะ
หลวงตา : รัก คือ คือยางต้นรัก รู้จักต้นรักมั้ย นั่นๆ ๆหน่ะ เค้ามาปิดทอง ไม่ใช่
แม่ชี : ต้นรัก
หลวงตา : ต้นรักก็ต้นใหญ่ๆ คล้าย ๆ ต้นมะม่วงอะ
ศิษย์ : ดอกรักในมะลิก็มี
หลวงตา : คล้าย ๆ ต้นมะม่วง ต้นรักนี่ใครแพ้นี่แค่ไปอยู่ใต้ต้นก็หน้าก็บวมแล้ว หน้าบวมแล้ว รักที่เค้าเอามาปิดทองอะ ทาทองอะ
ศิษย์ : ลงรักปิดทอง
หลวงตา : ใช่ มันมีสองอย่าง รัก กับ ชาด ยางรัก กับยางชาด มันเป็นยาง เค้าต้องไปกรีดเหมือนยางพารานั่นแหละ
แม่ชี : การช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดตายค่ะหลวงตา จริงมั้ยที่อานิสงส์จะช่วยให้เราไม่ตายก่อนอายุขัยเนี่ยะค่ะ
หลวงตา : อืม ก็มีเรื่องเล่าเยอะแยะไป ช่วยชีวิตสัตว์เนี่ยะทำให้อายุยืน
แม่ชี : มีวิธีอื่นให้อายุยืนอีกมั้ยค่ะ
หลวงตา : บังคับจิตให้มันเหนือธาตุฮะ บังคับมันให้มันเหนือ บังคับยังไงล่ะ เค้าด่าแม่ชีแล้วเฉยๆอะ รูป รส กลิ่น เสียง ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เนี่ยะ มองก็เฉย ๆ อะ ทำได้มั้ย
แม่ชี : ทำได้ก่อนแล้วค่อยมาด่ากัน
หลวงตา : ถูกต้อง นั้นหน่ะ ความ ความ ในความเพลิดเพลินความทุกข์ความสุขโดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เนี่ยะ กระทบเนี่ยะ อย่างลมกระทบกายเนี่ยะ กินเข้าไปกระทบลิ้นเนี่ยะ ตาเห็นแล้วไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเฉย ๆ เฉย ๆ นิ่ง ๆ ได้นี่นั่นล่ะ โอ้ เริ่มเหนือแล้ว ถ้าทำได้นั้นหน่ะ ฝึกไปเรื่อย ๆ หน่ะ โน้นหน่ะ เอาอายุหลายพันปีก็ได้
แม่ชี : แต่ข้อดีของการนิ่งในทุกอย่างที่มากระทบคืออะไรค่ะ
หลวงตา : นิ่งเนี่ยะทำให้ไม่บันทึกอะไร ทำให้ธาตุมันพัก จิตพักธาตุพัก ธาตุเรานี่มันต้องใช้ ใช้ มันมี ดิน น้ำ ไฟ ลม ใช่มั้ย อากาศธาตุ จิตมันโดนควบคุม จิตเราควบคุมมันอยู่ ถ้าจิตมันไม่ควบคุมมันอยู่เฉย ๆ นี่ มันนิ่ง ๆ อะ ธาตุมันก็นิ่งไป นิ่ง มันไม่ไปตามอารมณ์ มันไม่ตามอารมณ์ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบ ลมพัดมายังอยู่เฉย ๆ ไม่รู้สึกเลยว่ามีลม มันก็มันเหนือละ นี่คือฤทธิ์และ ผู้มีฤทธิ์และ แม่ชีจะเอาอายุเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าทำได้นะ
แม่ชี : หลวงตาค่ะ คำว่า นิ่ง โดยที่กระทบมาแล้วนิ่ง กับไม่ยินดียินร้ายคล้ายกันมั้ยค่ะ
หลวงตา : ไม่ยินดียินร้ายหน่ะมันเกิดจากสาเหตุที่ ที่โดนหนักจน จนมันเบลออะไรก็ไม่รู้ ประมาณนั้นหน่ะ จนไม่อยากฟังอะ
แม่ชี : เค้าบอกว่าเวลาสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ เนี่ยะค่ะ มีความรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับปัญหาภายนอกเบื่อทางโลกด้วยเนี่ยะอะค่ะ
หลวงตา : ก็ประมาณนั้นหน่ะ ถ้าสวดนาน ๆ มีความรู้สึกเพราะว่าปัญหาทางโลกหน่ะ เรา เราเจอทุกวันหน่ะ ในปัจจุบันหน่ะ อย่างแม่ชีโดนด่าทุกวั๊นทุกวันแม่ชีเบื่อมั้ย เออ เบื่อแล้วแม่ชีเฉย ๆ มั้ย ถูกล่ะฮะ ถ้าโดนด่าทุกวันเฉย ๆ ได้เก่งล่ะฮะ ไม่ใช่ว่าโดนด่าทุกวันเนี่ยะ แค้นทุกวันนะฮะ พยาบาททุกวันหน่ะไม่ใช่นะอย่างนั้น มันคนละอย่างนะฮะ คืออยากหนีจากเสียงอะ จิตมันต้องหาที่เกาะ ใช่มั้ย หาที่เกาะใหม่ไม่อยากได้ยินยังเงี้ยะ หู้ย เบื่อ ฮึๆ เคยมั้ยหล่ะ เบื่อไม่อยากได้ยินหน่ะ แม่ชีจะหลบยังไงอะ
แม่ชี : เกาะหลวงปู่อะค่ะ
หลวงตา : เออ ประมาณนั้น เกาะกรรมฐานนั้น ประมาณนั้น ก็หลบไปไง มันก็จะไม่มีอาการอะไร มันมีสองอย่างนะ ไอ้พวกที่มีสมาธินี่ พวกซื่อบื้อ หมายถึง ซื่อบื้อ หมายถึง โดนจนซื่อบื้อหน่ะ จนไม่อยากฟังอะไร หรือไม่คน คนที่นั่นแล้วเค้า พอเค้าฝึกไปนาน ๆ เท่านั้นแหละ เสียงจะมาแล้วก็จะรู้หลบก่อนแล้ว จิตมันเป็นตัวรู้ที่ท่านพูดนั่นหน่ะ ที่ท่านมีฐานมันหน่ะนะ มันก็จะรู้มันรู้ไปหมดนั่นแหละ ทำไมท่านถึงให้ฝึกกรรมฐานหน่ะ ให้สวดมนต์ก็ไอ้ตัวเนี่ยะ มันจะเป็นคนลืม ต่อไปเนี่ยะลืม มันจะลืม ลืมเรื่องราวที่ไม่ได้เรื่องได้ราวนั่นหน่ะ นั่นหล่ะมันจะลืม มัน ที่บันทึกไว้มันก็ลืม ต้องย้อนนาน ๆ ถึงจะจำได้
แม่ชี : แล้วทางออกที่แบบว่าเวลาคนที่เจอปัญหาทางโลกแต่ว่าทำยังไงไม่ให้ดิ้นไปกับปัญหาเนี่ยะอะค่ะ
หลวงตา : โอ้โห้ มันยากแม่ชี ถ้าคนไม่เคยฝึกเนี่ยะ ขนาดไม่มีปัญหาอะไรเลยเนี่ยะ มันยังดิ้นเลยฮะ มันดิ้นตามกิเลสตัณหา อุปทาน ตัวเองอะหน่ะ ใช่มั้ย ดิ้นตามความรู้สึกที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรากระทบนั่นแหละ มันบันทึกนั่นแหละ ชอบ ไม่ชอบ มั่งดีใจ เสียใจ อะไรพวกเนี่ยะแหละ ไม่มีใครไม่ดิ้นหรอก มีมั้ย ดิ้นทุกวัน วันไหนไม่ดิ้นไม่มีหรอก ท่านถึงให้ทำกรรมฐานไง สวดมนต์นี่แหละ ฮะๆๆฮ่า มันจะหายดิ้นมั่ง มันห่างไง มันห่างแล้วมันก็หาย ที่ท่านว่าห่างหายอะไรนั่นหน่ะ ถ้ามันไม่ห่างแล้วมันจะหายได้ไงหล่ะ
แม่ชี : ถึงจะดิ้นเก่งขนาดไหนนี่กรรมฐานช่วยได้ใช่มั้ยค่ะ
หลวงตา : โอ้โห ทำไปเหอะ ทำจนตายหน่ะ มัน มันห่างเรื่อย ๆ มันก็ไม่มีแล้วหล่ะ
แม่ชี : แล้วมีคนบอกว่าเวลาสวดไปเรื่อย ๆ เนี่ยะค่ะ สงบบ้าง ไม่สงบบ้าง แต๋ก็ดีกว่าไม่เริ่มสวดใช่มั้ยค่ะ
หลวงตา : โอ้โห มันยังมีสงบมั่งและไม่สงบมั่งมันก็ยังดีกว่า ฮึๆๆ ดีกว่าไม่ได้ ก็ดี แก่นะ ไม่ใช่แก่ลงทุกวันนะฮะ ไม่มีที่เกาะนะเวลาแก่เวลาป่วย เวลาเจ็บ เวลา ทรมานกาย ทรมานใจเนี่ยะ โอ้ย ลำบากนะฮะ ที่มีพวกเนี่ยะ ไม่ฝึกไว้ลำบาก
แม่ชี : ทรมานกาย ทรมานใจ แต่มีที่เกาะอันเดียวกันคือกรรมฐาน
หลวงตา : ถูก นี่กระแสของงานที่มันทำที่หลวงพ่อให้เราทำอยู่ทุกวันเนี่ยะ มันเป็นกระแสที่มัน มัน มันไปเรื่อยๆ เนี่ยหล่ะ มันไม่ มันไม่ ไม่ได้อยู่ มันไม่ได้อยู่เหมือนเดิม เข้าใจมั้ย มันเป็น มัน มันเป็นกระแสที่ประมาณนี้แหละมันไปเรื่อย ๆ มันไม่เหมือนกระแสของพุทธะที่ท่าน หรือ พระอรหันต์ที่ท่าน ท่านนิพพานไปแล้วนะฮะ นั่นมัน ถ้าเราฝึกไปนาน ๆ เรามองภาพของพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้ามันจะต่างกันกับเรามองภาพโพธิสัตว์ต่างกันนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มากระทบนี้ต่างกัน มันจะต่างกันโดยความรู้สึก ที่ท่านให้เรา เราสวดนี้นะฮะ เรามีความรู้สึกทุกคนท่านบอก ท่านบอกไม่มีใครไม่มีความรู้สึกหรอก ตราบใดที่ยังมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย เนี่ยะ มันจะเป็นความรู้สึกที่เราไม่รู้ มันเป็นธรรมชาติหน่ะ เราไม่รู้ตามความเป็นจริง เราก็ ความรู้สึกนั้นคือ รูป รส กลิ่น เสียง ความสุข ความทุกข์ ความดีใจ เสียใจ ความเฉย ๆ อะไรพวกเนี่ยะอะ มันเป็น มันเป็นโลก ๆ ไง แต่ถ้านี้ถ้าเราสวดไปนาน ๆ เข้า ในบทสวดเนี่ยะมันมีพลังงานอยู่ ใช่มั้ย มันมีพลังงานมันเป็นธรรมะ พลังงานพวกเนี่ยะ มันเป้นจักรพรรดิที่จะเป็นพุทธเจ้ามันเป็นพลังงานที่ท่านสะสมไว้ในโลกเนี้ยะ มันอยู่ในโลกแต่ว่ามันสะสมไว้ ท่านเอาไปไม่ได้ไงมันยังมีอยู่เรื่อย ๆ ไง ถ้าจิตเราอยู่ในกระแสของมนต์ที่เราสวดเนี่ยะ หมายถึงจักรพรรดิ หรือ ไตรสรณคมณ์ หรือ หลวงปู่ดู่เนี่ยะ เราก็จะมีความรู้สึกตามท่านด้วย เข้าใจมั้ย รู้สึกตามท่านด้วย เราตามได้ตามกำลังที่เรามี อ้าวจริง ถ้าเราสวดไปนาน ๆ เข้า เราก็รู้ตามกำลังเราไปเรื่อย ๆ เราจะไปรู้ ตอนแรกเราเรียน ป.1 ใช่มั้ยเราสวดไปเนี่ยะพึ่งไม่นานเราจะไปรู้นู้นเหรอด๊อกเตอร์เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มันก็รู้ตามกำลังเราที่ไปเรื่อย ๆๆๆ ถ้า ถ้า ถ้าเราไม่หยุดนะ ถ้าเราหยุดมันก็หยุดหน่ะ มันก็ไม่รู้ รู้ รู้ต่อไปเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่ได้เรียนแล้วไง ก็เรียนไม่จบ ต้องไปเรียนใหม่ในอนาคต ตัวเนี่ยะ กรรมฐานตัวเนี่ยะ มันบันทึกไว้ที่จิตอยู่แล้ว ตัวกรรมฐานนี่มันเป็นตัวพื้น พื้นที่จะต้องไป ไปศึกษาบารมี 10 20 หรือ 30 โน่นนะ ตัวเนี่ยะมันเป็นฐานตัวเนี่ยะ แต่ทุกวันนี้เรา บารมีเราจริง ๆแล้วไปพร้อมกัน มันมีการให้ทานมั่ง มีการแผ่เมตตา ใช่มั้ย มีการบันทึกบุญ นี่ ไปไหนก็บันทึกบุญนะ แล้วมัน มันเรียนไปด้วย มันมีฐานไปด้วย เพราะเรายังอยู่ ใน ในสังคมเรายังไม่ได้ ไม่ได้เป็นนักบวชซึ่งอยู่วิเวกอยู่คนเดียวอะไรพวกเนี่ยะ
แม่ชี : หลวงตายกตัวอย่างจิตที่แบบรู้สึกตามท่านอย่างงี้ค่ะ ยังไงค่ะ
หลวงตา : โอ้โห ยากนะแม่ชีอธิบายยากมากเลยนะ คือว่าวันนี้เราอธิษฐานอะไรอะ อธิษฐานทุกวันหน่ะ สิ่งที่เราอธิษฐาน มันก็เป็นอย่างที่เราอธิษฐาน พอเราอธิษฐานแล้วเราฝึกไปด้วยไง ใช่มั้ยหล่ะ เออ
แม่ชี : อย่างเช่นอธิษฐานเป็นผู้มีประโยชน์
หลวงตา : ถูก เราก็จะได้เป็นผู้ที่มีประโยชน์ ที่มีประโยชน์ หมายถึงกระแสที่ ที่เราจะไปทำประโยชน์หน่ะมันดึงเราไปเอง โดยการเกี่ยว เกี่ยวข้องผูกพันกับ การเวียนว่ายตายเกิดของเราอะอธิบายยากนะ ไม่ใช่อธิบายง่าย ๆ ไม่
แม่ชี : ถ้างั้นต้องสร้างฐานให้มันกว้าง ๆ แน่น ๆ
หลวงตา : ฮะๆๆ มันต้องขยันนะฮะ ขยันเปลี่ยนอารมณ์โลกนะบ่อย ๆ เปลี่ยนจากอารมณ์โลกมาสวดมนต์บ่อย ๆ เข้าใจมั้ย
แม่ชี : ขยันสวดมนต์บ่อย ๆ
หลวงตา : อย่างแม่ชีนั่งคนเดียวในห้องเนี่ยะ มองภาพหลวงปู่ดู่ แล้วนั่งบนเก้าอี้ นั่งบนอะไรก็ได้ นั่งซักสวดไปเรื่อย ๆ เนี่ยะ แม่ชีจะไม่มี ไม่มีปัจจุบัน แต่มีอดีต
แม่ชี : ที่มันผุดขึ้นมา
หลวงตา : ถูกต้อง แต่ปัจจุบันแม่ชีอยู่ในพานหน่ะ แม่ชีสวดมนต์ไปเรื่อยเนี่ยะ ปัจจุบันไปอดีตนะฮะ ไม่ใช่ปัจจุบันไปอนาคต หมายถึงว่าทางโลกนะฮะไม่มี มีแต่ธรรมะล้วน ๆ ธรรมะหมายถึงว่ากรรมฐานที่เราฝึกดนี่ยะ แต่ว่าแม่ชีไปโน่นไปนี่แล้วสวดด้วยเนี่ยะห็จะได้ทั้งสองอย่างแล้ว สวดมนต์ไปด้วยบางที บางทีก็บันทึก ตามที่ ตา หู จมุก ลิ้น กาย เห็นใช่มั้ยหล่ะ เออ มันก็บันทึกไปทั้งสองด้านอยู่แล้วหล่ะ ทุกวันนี้มันก็บันทึกสองด้านอยู่แล้ว แม่ชีจะบันทึกด้านเดียวก็หมายถึงว่าธรรมะด้านเดียวอยู่ อยู่ คนเดียว มันมีอดีตผุดขึ้นมามั่งนะ บางทีไม่มีแล้ว ถ้ามันสงบมันเบาไม่มีแล้ว มันไม่มา มันอยู่ที่ปัจจุบันล้วนๆ หน่ะ มันไปอนาคตโน่นหน่ะ
แม่ชี : กว่าจะไปอนาคต ต้องรื้อปัจจุ หรืออดีตให้หมดก่อนหรือค่ะ หลวงตา
หลวงตา : ที่เราสวดทุกวันมันรื้ออยู่แล้ว เพราะพลังงานมันยังอยู่ไง รื้อ หมายถึง ทำให้เราลืม ทำให้เราลืมนะฮะ นึก มันไม่เพิ่ม
แม่ชี : เพิ่มแต่สิ่งดี ไม่เพิ่มสิ่งที่ไม่ดี
หลวงตา : ถูก อารมณ์ที่เคยกระทบไม่ดีนี่มันลดลง อย่างเสียงที่มันรำคาญหน่ะ มันลดลง มันก็ค่อย ๆ ลดลง เสียงรำคาญก่อนนะฮะ ทีนี้เสียงรำคาญลดลงหน่ะ เสียงไม่รำคาญก็ลดลงนะ เสียงเพลิดเพลินก็ลดลง มันจะไม่มความเพลิดเพลินตรงนั้น เพราะจิตมันเริ่มเบา มันเริ่มสบาย อะไรที่รำคาญเนี่ยะมันไปแล้ว มันไม่ค่อยจะมีแล้ว ทีนี้ไอ้ที่มันคงเพลิดเพลินมันก็เริ่มจะไปด้วย
แม่ชี : ไม่อยู่ด้วยเหมือนกัน
หลวงตา : ถูก แล้วมันก็จะเริ่มนิ่งเริ่มเบาแล้ว นาน ๆ เข้าเนี่ยะ ไอ้ ไอ้ ความเพลิดเพลิน หรือ ความไม่เพลิดเพลินมัน มันรู้อยู่ แต่มันจะไปตามนั้น เหมือนแม่ชีได้ยินเสียงเพลงหน่ะ ที่ชอบอะ เมื่อก่อนหน่ะ ต้องนึกตาม ต้องร้องตามในใจ ถ้าอยู่คนเดียวก็ร้องเลย ถ้าอยู่หลายคนก็ไม่กล้า ฮะ ฮา ประมาณนั้นหล่ะ แต่ต่อไปแม่ชีไม่ละจะอยู่เฉย ๆ รู้สึก เอ่อ คนนั้นร้อง ป่านนี้คงตายแล้ว มันคงไปอย่างงู้นแล้ว ด้วยการแผ่แล้วหล่ะ มันเปลี่ยนฮะ เปลี่ยน มันเปลี่ยน เปลี่ยนความรู้สึกอะ นี่ นี่ นี่คือกรรมฐาน คือการพัฒนาระบบการเวียนว่ายตายเกิดในอนาคต คือตัวเรา คือจิตเรา ก็จิตเราคือตัวเราไง เปลี่ยนพฤติกรรมหมดแล้วไม่มีแล้ว
แม่ชี : เป็นทำกรรมฐานเป็นการพัฒนา
หลวงตา : ถูกต้อง ถูกเลย ทีนี้จะศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็ง่ายแล้ว ปรารถนาสิ่งใดหล่ะ เราปรารถนาเป็นอะไรในอนาคต เวียนว่ายตายเกิดมันเป็นปกติ มันเป็นธรรมชาติ ตนเราเกิดมาก็ตาย คนเราเกิดมาก็อยู่ในสภาพที่ปัจจุบันที่ก็เห็น ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี่ มีความสุข มีความทุกข์ มีความเพลิดเพลินใจ ดีใจ เสียใจ อะไรพวกเนี่ยะ อยู่ ๆ อย่างเนี่ยะ ไม่มีอะไร แล้วก็ตายไป แล้วก็เกิดใหม่ แล้วก็ทำใหม่ ประมาณเนี่ยะไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้เริ่ม เริ่ม เริ่มจะมีทางสิ้นสุดแต่ว่ามันเป็นผู้ที่ รู้ รู้ รู้ระบบ รู้มนุษย์ รู้คน รู้สัตว์ รู้ รู้ว่า เข้าใจมั้ย ถ้าแม่ชีรู้แล้ว การเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นปกติอยู่แล้ว ตายเกิดเลยก็ได้ ตายไปค้างที่ไหนก็ได้ประมาณเนี่ยะ
แม่ชี : คำว่าเริ่มมีทางสิ้นสุดคืออะไรค่ะ หลวงตา
หลวงตา : อ้าว จะเกิดก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ไง
แม่ชี : ก็คือรู้ในสิ่งที่เราปรารถนา
หลวงตา : ถูก อยาก ไปเกิดภพภูมิไหนก็ได้ ทีนี้จิตมันก็ไม่ได้เป็นทุกข์อะไรมาก เพราะเรา เรา เข้าใจแล้ว เข้าใจเรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง เข้าใจเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เรากระทบทุกวันเนี่ยะเรารู้แล้วไง
แม่ชี : หลวงตาแล้วเหตุใดที่เราต้องรู้ทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริง
หลวงตา : แม่ แม่ชีไม่รู้เนี่ยะ แม่ชีได้ยินเสียงเนี่ยะแม่ชีก็เพลินไปตามเสียง ใช่มั้ยหล่ะ
แม่ชี : เพราะ เพราะเราไม่รู้เราเลยเพลินเหรอ
หลวงตา : ถูก ที่ที่มีความทุกข์แม่ชีนึกไป หรือเห็นคนเนี่ยะ แม่ชีกระทบตามเค้าอีก
แม่ชี : เราไม่รู้เราเลยทุกข์ตามเค้า
หลวงตา : ถูก แม่ชีทุกข์เนี่ยะ มีประโยชน์มั้ย ทำให้ร่างกายทุกข์ไปด้วย ทำให้ร่างกายใช้งานน้อยด้วย เพราะจิตเป็นตัวควบคุมอะ จิตเป็นตัวรับตัวส่งตัวอะไรเยอะแยะไปหมดเลย ใช่มั้ย เออ ถ้าควบคุมจิตได้ ควบคุมกาย จิตควบคุมกายอยู่ มันก็ควบคุมได้อยู่แล้วนี่ เพราะฉะนั้นมันเป็นธรรมชาติอยู่แล้วว่าเราจะต้องการอายุเท่าไหร่อะ ใช่มะ เรา ทีเรายังไม่ฝึกหล่ะเราฝึกไปแค่นี้แหละ ท่านพูดว่าฝึกพูดกันอย่างเนี้ยะ เราก็รู้แล้ว เออ อย่างนี้มันถ้าเราฝึกได้ เราสามารถจะสูงอายุกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ได้
ศิษย์ : ไม่ได้ยินเสียง
หลวงตา : ใช่ เพียงเรารู้ล่วงหน้าไปเฉย ๆ หรอก ว่าจริง ๆ หลวงพ่อท่านบอก อย่าไปสนใจเลยเอ็งสวดไปเหอะ จน จนจะรู้ไปเรื่อย ๆ หน่ะ
แม่ชี : เราก็รู้อยู่แล้วมีเกิดมีตายเงี้ยะค่ะ แต่เวลาที่เจอสิ่งที่อย่างเงี้ยะกระทันหันค่ะ มันทำใจไม่ได้อย่างงี้ล่ะค่ะ
หลวงตา : อืม มันทำใจไม่ได้หรอกถ้าเรายังไม่มีกำลังใจ ท่านที่เรียกว่ากำลัง ๆ อะ มันไม่มี มันก็ทำใจไม่ได้ ถ้ากำลังมีมันก็ทำใจได้เพราะมันรู้อยู่แล้วไง ความรู้ที่เราเรียนมันก็รู้ไปเรื่อย ๆ นี่ ไม่ใช่เราไม่รู้นี่ ประสบประการณ์แห่งชีวิตนั่นแหละ เราเห็นอยู่ทุกวัน ลองคนอื่นตายเราก็เฉย ๆ ใช่มั้ย ลองญาติเราตายดิ
ศิษย์ : ฟังไม่ชัด
หลวงตา : ถูกแล้วค่ะ ที่จริงคนอื่นกับญาติเราอะต่างกันตรงไหนอะ มันก็ไม่ต่างกันตรงไหนvt
แม่ชี : เรามีวิธีการรับมือแบบเหตุเกิดตอนที่เราไม่มีกำลังละค่ะ
หลวงตา : สวดมนต์ดิ ไม่ใช่รับมือ ลับใจ ทำใจ ทำใจ ทำใจ ฝึกที่ใจ
แม่ชี : จริงมั้ยค่ะ หลวงตาว่าเสียใจมาก ๆ เดี๋ยวมันก็เลิกเสียใจเองอะ
หลวงตา : โอ้โฮ่ๆๆๆ ถูก ทุกอย่างมันมีลิมิตของมัน แต่มันบันทึกระยะเวลาเท่าไหร่อะ ตอนที่เสียใจอยู่ บันทึกนานเท่าไหร่ มันบันทึกอยู่นะฮะ เวลาโดนอีกนะฮะมันอาจจะยาวหรืออาจจะสั้นก็ได้นะ มันจะต่ออีกนะฮะ ถ้าเราไม่รีบหนีจากมัน มันต่อนะ
แม่ชี : เค้าว่า
หลวงตา : กรรมที่เราทุกวันนี่ก็เรามาต่อมันนะเนี่ยะ
แม่ชี : หนีของหลวงตา คือ หนีไป ไป
หลวงตา : ก็อย่าไปต่อมันซิ ก็อย่าให้มันอยู่ได้นานดิ แม่ชีเพลิดเพลินนานเนี่ยะได้ชั่วโมงหนึ่งมันบันทึกอยู่แล้ว ถ้าแม่ชีเพลิดเพลินทั้งชาติ แม่ชีก็ไปร้องเพลงที่เขาคิชกูฏนะตอนตายร้องอยู่นั่นแหละรู้จักมั้ย อ้าว ตายแล้วก็ไปร้องเพลงอะ ร้องไม่หยุดด้วย ถ้าตายก่อนกำหนดนะพูดถึง ถ้าตายกำหนดก็ตายตามกรรมนั่นแหละ สมัยก่อนนะให้ไปดูนะเว้ย มีคนไปดูอะ นักร้องเนี่ยะเวลามันตาย พวกที่ตายก่อนกำหนดมันร้องอยู่นั่นแหละ ตอนนี้ยังร้องอยู่เลย
แม่ชี : ร้องที่อื่นไม่ได้เหรอค่ะ
หลวงตา : มันเป็นเขาที่ ฮึๆ มันเป็นเขาที่ ฮึๆๆ โลกวิญญาณ ฮึๆๆ พวกที่มีกรรมลักษณะนี้อยู่ตรงน้าน
แม่ชี : อ๋อ ไปรวมกันตรงนั้น
หลวงตา : ใช่ ถูก เกิดจากการสะสมนั่นแหละ สะสมทุกวันนั่นแหละ ใช่มะ สะสมอย่างใดอย่างหนึ่งประจำ เหมือนแม่ชีฆ่าหมูทุกวันเนี่ยะ ฆ่าหมูเป็นอาชีพ ค้าขายมั่ง อะไรมั่ง เป็นเวลาตั้ง 10 20 30 ปีอะ พอแก่มาแล้วทำไม่ได้แล้ว ใช่มะ อาการ หน้าตา ร่างกาย เริ่มจะเป็นหมูแล้วหล่ะ
ศิษย์ : ฟังไม่ได้ยิน
หลวงตา : ถูก เพราะกรรมสะสมบ่อย ๆ ลักษณะนั้นก็จะเกิดเพราะมันความเคยชิน
แม่ชี : เช่นซึ่งการถ้าเราสะสมกรรมเกี่ยวกับการสวดมนต์บ่อย ๆ
หลวงตา : หาย
แม่ชี : มันก็คือการบันทึก
หลวงตา : ความเคยชินมากขึ้นเนี่ยะ มันรู้สารพัดเรื่องเนี่ยะ เพราะบทสวดมนต์ที่เราสวดเนี่ยะ มันเป็นจักรพรรดิเข้าใจมั้ย จักรพรรดิเนี่ยะไม่รู้เรื่องอะไรไม่มี เพราะจักรพรรดินี่พร้อมที่จะเป็นพุทธะ บารมีมากนะฮะคนที่จะเกิดเป็นจักรพรรดิ ไม่ใช่เรา ๆ ท่าน ๆ ตายแล้วจะไปกิน เอ้ย อยากเป็นจักรพรรดิเว้ยชาตินี้สร้างอย่าง อย่างหนักเลย อืม ไม่ ไม่ ไม่มี ไม่ได้ ฮะๆๆ ถ้าไม่พอก็ไม่ได้ กำลังไม่พอ เกิดมาก็กินเกลี้ยง กินแล้วก็ทำใหม่ ตายเกิดมาก็กินเกลี้ยง รับเงินเดือนก็กินหมด ไม่ได้เก็บไว้เลย ใช่มั้ย เอ่อ แถมเอาเงิน.ฟังไม่ชัด....มากินอีก เงินข้างหน้า เงินเดือนหน้า มันจะมีเก็บอะไร มันจะไปเกิดได้ยังไงเล่า อย่างแม่ชีเนี่ยะ ชาตินี้แม่ชีเก็บอย่างเดียวไม่ได้ใช้เลย อ้าว เกิดมาแล้วบวชไม่ได้ใช้ไง ไม่ได้บุญเก่า ทำบุญใหม่ต่อไป ก็เรียกว่าเก็บ
แม่ชี : จะบวชไม่บวชก็สามารถเก็บบุญได้มั้ยค่ะ
หลวงตา : ได้ ต้องเป็นนักปฏิบัติธรรมนะฮะ อย่าไปติด ติดโลกไม่ได้ ติดแล้ว ต้องทำด้วยนะฮะ หมายถึงว่าบารมีนั้นหล่ะ ทั้ง 10 นั่นหล่ะ ความดีก็ต้องทำ ไม่ใช่เกิดมาเสวยบุญแล้วไม่ได้ต่อไม่ได้ทำเลย มันก็หมด เหมือนที่เห็น ๆ อยู่วันนี้ไม่เห็นป่าว ถ้ากรรมไม่ดีก็ทำด้วย ก็ตัดด้วย ตัดรอนด้วย ตัด ตัดรอนกรรมดีไปอีกด้วย คือกรรมมันตัดกรรมอยู่แล้วฮะ เข้าใจกรรมตัดกรรมอยู่มั้ย เออ นั้นหน่ะ อ้าว กรรมไม่ดีมาก ๆ เฮ้อ ๆๆ กรรมดีพอมีอยู่ มันก็ไปทางกรรมไม่ดีแล้ว ตัดรอนแล้ว เข้าใจมั้ยที่ว่าโอ้ยกรรมตัดรอน นี่ลองด่าพ่อด่าแม่ทุกวันดิ นั่นหน่ะ นั่นหน่ะ พวกนี้กรรมตัดรอนไว ทำร้ายร่างกายพ่อแม่บ่อย ๆ นะฮะ ตาย บางคนหน่ะ ไม่กี่ปีก็ตายแล้ว โดนเค้ากระทืบตายมั่ง อะไรมั่ง พวกประมาณเนี้ยะแหละ ฮู้ๆๆ ฮึๆๆๆ ที่จริงมันยังไม่ตามอายุขัยหรอกแต่มันกรรมมันตัดรอน เข้าใจมั้ย เอ้อ อย่างนั้นแหละ เหมือนคนด่าพระ ด่านักบวชนั่นหน่ะ หลวงตาเห็นหลายคนแล้ว ไม่กี่ปีก็บ้าแล้ว กรรมตัดรอน คำว่ากรรมตัดรอนเป็นอย่างเงี้ยะ อยู่เฉย ๆ ไม่ชอบ ใช่มั้ยไปด่าเค้าทำไมอะ เฮ้อๆๆ ๆ ไม่ใช่เรื่องของเราเรื่องของท่าน ท่านจะดีไม่ดีก็ด่าท่านไม่ได้ ใช่มั้ย เอ้อ ด่าไม่ดีก็สิ่งที่ไม่ดีก็เข้าเราเอาดิตายดิไปเหลือเรอะ นี่เห็นหรือยังกรรมตัดรอนเห็นชัด ๆ อะ กรรมบันทึกอะ เนี่ยะเราโชคดีเราสวดมนต์ทุกวันรวยทุกคนฮะสวดไปเหอะ
แม่ชี : สาธุ
หลวงตา : มีที่ไหนจักรพรรดิจน ไม่มี ลองสวดมนต์แผ่เมตตาไปเหอะ ทำอารมณ์ให้ดีเรื่อย ๆ เหอะ ทำวันนี้บางทีพรุ่งนี้ก็ได้แล้ว มันไม่มีกรรมตัดรอนไง ใช่มะ เออ อืม คิดง่ายๆ ดิอย่าไปคิดยาก บางคน หู้ย คิดยากมากเลย คิดลึกมาก โน่น คิดอยู่ในบ่อเลย คิดลึก
ศิษย์ : หัวเราะ คิดอยู่ในบ่อ
หลวงตา : ใช่ ก็มันคิดลึกไง ก็ลงไปคิดในบ่อไง
ศิษย์ : หัวเราะ
หลวงตา : ใช่มะ บางคนก็คิดสูงไปโน่น คิดบนต้นไม้โน่น คิดตามความเป็นจริงนี่แหละท่านบอก ถ้าเอ็งคิดตามความเป็นจริงที่เห็นอะ ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นนี่นะ เอ็งก็จะได้ธรรมะคือความจริงนั่นแหละ ก็คิดเรื่องจริงนะ มันก็จริง ถ้าคิดเรื่องไม่จริง โฮ้ย อะไรก็ไม่รู้มันจะไปจริงได้ยังไง ก็มันเป็นธรรมะ ธรรมะมันธรรมชาติไง มันเป็นกฏธรรมชาติ เราอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา ก็ทำ ทำดีไง บางคน โอ้ย ทำดีไม่ได้หรอก อยู่กับคนไม่ได้เรื่องทั้งนั้น อ้าว ก็อย่าไปทำอย่างเขาดิ อยู่ได้นี่ใช่มะ ไม่เห็นเป็นไร บางคน โอ้ย อยู่ไม่ได้หรอกทำไมอยู่ไม่ได้ เค้าแบ่งมาให้ก็เอาแล้วเราก็คืนเค้าไปไง เค้าแบ่งมาก็รับไง ทำไมอะ
แม่ชี : แล้วคืนไปทางไหนค่ะ
หลวงตา : อ้าว สร้างโรงเรียนมั่ง สร้างสาธารณะประโยชน์มั่ง หรือวัดมั่ง แล้วแต่ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย
แม่ชี : หลวงตาค่ะ คำว่าการต่อความดีอะค่ะ คือต่อหนึ่งอะไรก็ได้ใน 1 บารมี 10 ใช่มั้ยค่ะ แบบดูง่าย ๆ นี่ค่ะ
หลวงตา : อ๋อ ความดีมันเป็นลูกโซ่กันอยู่แล้ว ความดีแม่ชีลองทำไปเหอะ สวดมนต์ แผ่เมตตาบ่อย ๆ เนี่ยมันก็จะ มันก็จะพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองทำนั่นแหละ มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ก็บอกแล้วว่าเป็นธรรมชาติเข้าใจมั้ย แม่ชีเรียนเรื่องอะไรอะ แม่ชีไม่จดจ่อในเรื่องนั้นแม่ชีก็เรียนไม่จบอยู่แล้ว เนี่ยเราอยู่ในกรรมฐานเราก็จดจ่อในกรรมฐานเราดิ หลวงตา หลวงพ่อ ท่านบอก เอ้ย จักรพรรดิเนี่ยสวดแล้วรวยนะ สวดไปดิ ยืน เดิน นั่ง นอน สวดไปดิ
แม่ชี : ไม่รวยอย่าหยุดสวด
หลวงตา : ถูก อือ ไม่รวยอย่าหยุดสวด ฮ่า ๆ ไม่รวยชาตินี้ก็ชาติหน้าหล่ะว่ะ
ลูกศิษย์ : หัวเราะ
หลวงตา : ชาติต่อๆ ไป จริงๆ แล้ว ก็ไม่จนหรอก เชื่อเถอะ
แม่ชี : หลวงตา แล้วคำว่าแบบ จิตอยู่ในกระแสของมนต์เนี่ย มันไม่มีต้น ไม่มีปลาย ใช่มั้ยค่ะ
หลวงตา : แม่ชีไม่เคยฝึก ไม่เคยฝึกกะอาคม ก็จะไม่รู้หรอก ไปถามคนที่เรียนอาคมนู่น ไปถามมาเหอะ มันท่องตลอดเวลาแหละ มันต้องใช้อาคมไง จนกว่าอาคม คือ บทที่เค้าสวดอะเป็นเนื้อเดียวกับจิตนู่นหนะ
แม่ชี : วรรคไหน ประโยคไหนขึ้นก่อนขึ้นหลัง
หลวงตา : ฮึๆๆ เค้าไม่สนใจหรอกนะ บางท่านสมัยก่อนนะท่านเรียนเมตตาเนี่ย โฮ้ยท่านมองดูนก เอาอาหารใส่ในมือ คือเรียนสำเร็จแล้ว นกมันบินมากินเนี่ย โน่นแหละต้องบริกรรมตลอดหน่ะ ที่ท่าน ที่ ที่ท่านสอนหน่ะเข้าใจม่ะ สายที่ท่านไม่เกิดนะ แต่สายเรามันเกิดอยู่ท่านบอก ถึงพุทโธ เมื่อไหร่ก็ไม่เกิดล่ะ แม่ชีอยากไม่เกิดไม่ล่ะ เนี่ยะสวดพุทโธไปเลย สวดจนไม่เกิดนั่นแหละ ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่เกิด พุทโธคือพระพุทธเจ้าไง แต่ของเราเนี่ย มีพุทธัง ธัมมัง สังฆังด้วย พุทโธ ธัมโม สังโฆ มีสังโฆด้วยไง เราเกิดอยู่ไง
แม่ชี : แต่ในบทจักรพรรดิก็มีความหมายของพุทโธอยุ่ในนั้นอยุ่แล้ว
หลวงตา : ธัมโมด้วย
แม่ชี : เพราะฉะนั้นคนจะไม่เกิดก็ใช้บทนี้ได้
หลวงตา : เฮ้อๆๆ ได้ ฮึๆๆ พูดถึง พูดถึง พูดถึง ถ้าจิตเข้าถึงตรงไหนหน่ะ ตรงนั้นเราก็ได้แล้ว ถ้าจิตเราอยู่ในจักรพรรดิล่ะ
แม่ชี : พอพูดถึงจิตอยู่ในจักรพรรดิมันก็เลยแปลว่าจะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงเหรอค่ะ
หลวงตา : เอางี้ก็แล้วกัน แม่ชี เจอหนุ่มหล่อๆ นี่ แม่ชีจับอยู่ที่เค้าหน่ะ แม่ชีโอ้โหอยู่ไม่ได้หรอก มันอยู่ตรงนั้นแหละ ใช่ม่ะ มันก็ต้อง ขาต้องไป ความคิดต้องเกิดแล้ว จะทำยังไงดีแล้ว มันไปหมดเลยอ่ะ แล้วความอยากได้อย่างเนี่ยมันไปหมดเลย เฮ้อๆๆๆๆ ฮึ รู้มั้ยตอนนี้รู้ยัง หรือไม่รู้
แม่ชี : ไม่อยากได้อย่างเนี่ย อยากได้อย่างอื่น
หลวงตา : ฮึๆๆๆ พูดถึงถ้าเราสวดไปนานๆ จิตเราอยู่ตรงนั้นมันก็เหมือนอย่างนั้นแหละ จิตจดจ่อในกรรมฐานนั่นแหละท่านบอก ยืนเดินนั่งนอนมั่ง มันก็อยู่ในตรงนั้นแล้วไง มันก็พัฒนาไปตรงนั้นแหละ ง่ายๆ ที่ไหนหล่ะ จริงๆ แล้วที่ ที่ ถ้ำอะ ทำไมหลวงตาไม่ให้ใครทำอะไร มีแต่ไปเรียน กิน นอน สวดมนต์ ถ้าใครทำได้นะ 20 , 30 ปี นะหลวงตาว่าไม่ใช่ธรรมดาและ ไม่ใช่นอนแล้วก็ไม่ลุกนะ เฮ้อๆๆ
ลูกศิษย์ : (หัวเราะ)
หลวงตา : ไม่ใช่กินจนอืดแล้วก็นอนนะ สวดมนต์ก็ไม่เอา ไม่ใช่นะ เห็นเค้าสวดก็ต้องสวดนะ ใช่ม่ะ เนี่ย อีก 20,30 ปี หลวงตาว่าสุดยอดแล้ว ถ้าทำได้นะ ต้องขึ้นทุกรอบด้วยนะฮะ ทุกครั้งด้วยนะ ยกเว้นจริงจริ้งปวดขี้จริงๆ นั่นล่ะนะ
ลูกศิษย์ : (หัวเรา)
หลวงตา : ปวดขี้นะมันใหญ่กว่าใจนะ อย่างหลวงปู่ ท่านถาม หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นถาม อะไรใหญ่กว่าใจ หลวงปู่เต้ย (ฟังไม่ชัด) ท่านบอก ขี้ครับ ก็จริงอะ เฮ้อๆๆ
ลูกศิษย์ : (หัวเราะ)
หลวงตา : ใครทนได้มั่ง เฮ่อๆ ประมาณนั่นหล่ะ ใช่ม่ะ เออ
ลูกศิษย์ : ( แล้วคนเหนือธาตุ ยังทนได้มั้ย )ฟังไม่ชัด
หลวงตา : อะไรนะ
ลูกศิษย์ : คนเหนือธาตุ (ฟังไม่ชัด)
หลวงตา : ไม่ได้
ลูกศิษย์ : ต้องเหนือธาตุ
หลวงตา : ใช่ ติดได้แล้วจะปล่อยเมื่อไหร่ก็ได้ คือธาตุเค้าควบคุมไว้หมดแล้วไง คือปล่อยออกแล้วไง ไอ้ที่ค้างๆ นี้ปล่อยออกเลยเพราะทำให้อายุยืนได้นะ กำหนดอายุตัวเองได้ กำหนดได้ทุกอย่างหน่ะ แบ่งตัวเองยังได้เลย ไอ้กับพวกนี้เรื่องเล็กหรอก
แม่ชี : แล้วที่ญาติธรรมถามว่าสวดจักรพรรดิอย่างเดียวไม่ได้กรรมฐาน อย่างอื่นไม่ได้สัพเพ
หลวงตา : นี่แหละคือกรรมฐานหล่ะ จักรพรรดินี่แหละ ลองทำจิตให้ถึงจักรพรรดิเถอะ นี่คือกรรมฐานนั่น
หล่ะ คือ น้าน ที่หลวงพ่อท่านให้หลวงตาทำสมัยก่อนโน้นหล่ะ ท่านบอกอย่าให้ไปไหน อยู่แถวๆ เนี่ยะ ให้จิตอยู่แถวๆเนี่ยะ ให้อยู่ที่ท่าน อยู่ที่จักรพรรดิ อยู่ที่ไตรสรณคมณ์ อย่าไปไหน อยู่ที่นี่แหละ มันไปก็รีบให้มันกลับมา
แม่ชี : ถ้าสวดแล้วไม่ได้สัพเพจะมีผลเป็นยังไงค่ะ
หลวงตา : มันไม่มีผลอะไรหรอกฮะ เพราะปกติคนสวดก็แผ่อยู่แล้วฮะ เวลาสวดเค้าก็สวดกับเราอยู่แล้ว ก็นึกอธิษฐานตลอดชีวิตอยู่แล้วเนี่ยะ เราไปไหนเราก็สวดอยู่แล้ว สวดกับแผ่มันก็ไปด้วยกัน เวลาเค้าสวดมันก็สวดพร้อมกันอยู่แล้วนี่ จริงๆ แล้วนะ ศาสตร์หลวงพ่อมันเกี่ยวกับเรื่องผีโดยตรงแม่ชี แม่ชีสวดที่ไหนผีก็สวดที่นั่นแหละ ผี หมายถึงโลกวิญญาณทั้งหมดหล่ะ
แม่ชี : แสดงว่าญาติเราที่เป็นผีก็มาสวดด้วย
หลวงตา : ถูกต้อง อยู่ที่แม่ชีจะสวดหรือป่าวหล่ะ
แม่ชี : ถ้าเราสวด
หลวงตา : เค้าก็มาสวดกับเรา เพราะเค้าไม่มีธาตุ เค้าไม่มีรูป มันเป็นนามธรรม คือ จิต วิญญาณ หน่ะ มันเป็นนามธรรม ทำเองไม่ได้
แม่ชี : แล้วทำไมผีถึงได้บุญค่ะ
หลวงตา : อะอ้าว แล้วอะไรมากับธาตุเรา รูปนามของเราหล่ะ บุญล้วนๆ กำลังล้วนๆ เค้าน้อมมาที่เราแสงสว่างล้วนๆ คือ ท่านอยากให้ฝึก อยากให้เห็น อยากให้รู้ไง ว่าเวลาเราสวดนี่พลังงานมาจากไหน แล้วเวลาเค้าสวดเนี่ยะเค้าได้เรากับเราได้ยังไงเนี่ยะ ตรงเนี่ยะ อยากให้ฝึกตรงเนี่ยะ มันจะได้ไม่สงสัย อย่างน้อยๆ มีความรู้สึกว่า เอ้อ มีคนมาสวดกับข้างๆ เนี่ยะ ถ้าอย่างนั้นยังไม่สงสัยอีกอะ เค้าจะเลิกสงสัย เอ๊ะเป็นไปได้ยังไงวะ สวดอยู่ดีๆมีคนมาเยอะแยะมาสวดกับเรา มองไปมองมาไม่มีนะ ประมาณนั้นหน่ะ
แม่ชี : แล้วถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนั้นจำเป็นต้องสงสัยมั้ยค่ะ
หลวงตา : โอ้โห้ไม่มีใครสงสัยแล้วเผ่นแล้วบางคน หึ
ลูกศิษย์ : หัวเราะ
หลวงตา : หยุด พอหยุดเค้าก็หยุดด้วยนะฮะ พอเริ่มสวดเค้าก็สวด มีบางคนมีนะฮะ เพราะอารมณ์เค้าดีไง อารมณ์เค้าสบายๆ นะโมพุทธายะ เอ้าตามละ พอหยุดกึ้ก เอามันก็หยุดด้วย มองหน้ามองหลังไม่มี เอ้าพอเราสวดเอาสวดอีกแล้ว
หลวงตา : หัวเราะ ... เนี่ยะ ๆ มันสนุกตรงเนี่ยะบทเนี่ยะเข้าใจมั้ย ศาสตร์หลวงพ่อมันสนุกตรงเนี่ยะ หลายคนนะฮะ หลายคนนะ บางคนก็ไม่กล้าสวดกลางคืนนะฮะ กลางวันค่อยไปสวด กลางวันก็ยังเจออยู่นั่นแหละ เพอสวดเมื่อไหร่เค้าก็สวดกับเราเมื่อนั้นแหละทันทีเลย
ลูกศิษย์ : อย่างเรานั่งสวดอยู่ เราก็สวดของเราเบาๆ แต่มีเสียงสวดดังมาก รู้สึกดังมาก
หลวงตา : ไม่ได้สวดคนเดียว ที่มันดังๆ หน่ะ คนอื่นมาสวดด้วย เอ้อ มันดังไปไกลนะ จิตคนนี้ไกลนะ สามโลกธาตุนะไม่ใช่ใกล้ๆนะ เทวดาเค้าอยู่ไหนหล่ะ อยู่นู้น (เสียงสูง) เนี่ยะ
ลูกศิษย์ : ทำไมเค้าบอกเราสวดเบา ๆ
หลวงตา : หัวเราะ เค้ามองเห็นเราอยู่นะ ถ้าเป็นญาติเรา หรือ เคยเข้าสวดกับเราเราบ่อยๆ นะ เค้าอยู่ที่ไหนถ้าเค้ามาไม่ได้เค้าก็เห็นเราสวดแล้วเค้าน้อมมานะ เหมือนเราอยู่ตรงนี้เรานึกไปไหนก็ไปถึงแล้ว
แม่ชี : ถึงเราอยู่ตรงไหน วิญญาณญาติเราก็สามารถมารับบุญกับเราได้ทุกที่นะค่ะ
หลวงตา : วิญญาณบางวิญญาณหน่ะมันอยู่ไกล ถ้าอย่างมันไกลจากโลกมนุษย์แต่จิตมันไม่ได้ไกลมันเห็นมันน้อมมาสวดกันได้ มันเป็นคลื่นเข้าใจมั้ย คลื่นของจิตหน่ะ เราหน่ะมีรูปมีนามหรือเราคิดไปมันเป็นคลื่น เวลาเราสวดหน่ะ แต่เค้ามีแต่นามธรรมไม่มีรูป เค้าอะดึงไปหล่ะ เค้าน้อมมามันก็ไปคลื่นมันก็ไป
ลูกศิษย์ : ทีนี้เค้าก็ต้องมาอนุโมทนา
หลวงตา : สวดกับเราอยู่แล้วนะ
ลูกศิษย์ : งั้นก็ไม่ต้อง
หลวงตา : ไม่ต้อง
ลูกศิษย์ : หลวงตาค่ะ จากที่เพื่อนๆที่ ลพบุรีอะ จากที่สวดที่นี่เค้ามาได้มั้ยค่ะ
หลวงตา : ลพบุรีเหรอ ถ้าเป็นวิญญาณสัมภเวสีจะเกาะมากับเราอะมาได้ จาตุมก็มาไม่ได้ ยกเว้นดาวดึงส์ขึ้นไป
ลูกศิษย์ : ฟังไม่ชัด
หลวงตา : แต่ถ้าเค้าบอกนะ เราสวดเค้าก็สวดกับเรานะ เค้าเห็นอยู่นะฮะ
แม่ชี : แล้วบางท่านนะค่ะสวดไปเรื่อยๆนะค่ะ ก็มีความรู้สึกเบาสบาย แต่อีกจิตหนึ่งรู้สึกกลัวขึ้นมางี้ล่ะค่ะ
หลวงตา : ฮ่าๆๆๆ กลัวอะไร ถ้าสวดมนต์ต้องกลัวด้วยเหรอ ฮะ สวดมนต์กลัว กลัวอะไรหล่ะ
แม่ชี : เหมือนพอมันเบาอีกจิตลึกๆ ก็กลัวงี้ค่ะ
หลวงตา : โอ้โห เค้ามีแต่เค้าอยากให้มันเบา ไม่ต้องไปกลัวนะ ปล่อยตามสบาย ๆ
แม่ชี : แล้วจะทำยังไงกับเวลาที่สวดมนต์แล้วเหมือนมีกลิ่นเหม็นละค่ะ
หลวงตา : อืมมม ถูกแล้วหล่ะ นั่นหน่ะเค้ารับได้นะหน่ะ เค้าอยากให้เราน้อมไปให้เค้านะหน่ะ เหม็นคือความทุกข์นะ ภพภูมิที่มีความทุกข์อยู่นะฮะ
แม่ชี : เหม็น คือ ความทุกข์ หอมก็คือ เทวดายังงี้นะค่ะ
หลวงตา : ใช่
แม่ชี : การสวดมนต์ตามเวลาของวัดน่ะค่ะ บางทีสวดได้ไม่เต็มชั่วโมงค่ะ หลวงตา แต่ก็น้อมไปสวดด้วยทุกครั้งนี้นะค่ะ
หลวงตา : ก็ไม่เป็นไรนี้ ขอให้สวดตามเค้าก็แล้วกัน เราจะได้มีพวกด้วยนะ ในอนาคตเราก็มีพวกกันอะ
แม่ชี : หลวงตาเอะเอ่อตอนแผ่เมตตาทุกครั้ง ต้องขอบารมีรวมหลวงปู่ทุกครั้งมั้ยค่ะ
หลวงตา : ถูกต้อง เวลาสวดทุกครั้งต้องนึกถึงท่านทุก ทุก ทุกครั้ง หลวงปู่เป็นหลักนะฮะ เพราะเรานึกถึงท่านนี่จิตเราจะรวมไปที่ท่าน ยิ่งภาพท่านนี่ยิ่งดีเรามองภาพท่านหน่ะ มันมีสื่อ บุญที่ท่านเคยสร้าง เข้ามาที่รูปแล้วก็มาที่เรา เราไปคล้องบุญกับท่านนะ ถ้าฉลาด ฉลาด หน่อยก็ ถ้าเรามีพระเยอะ มีรูปท่านเยอะ ก็ต้องบอกท่านหน่ะ สวดพร้อมกับเรานะฮะ รูปนี้หน่ะ รูปนี้หน่ะ
แม่ชี : รูปหลวงปู่อยู่ตรงไหนนี้เหรอค่ะ ให้สวดพร้อมกับเรา
หลวงตา : ให้สวดพร้อมกับเรา รูปเทวดา รูปพรหม รูปอะไรที่ในบ้านเอาสวดพร้อมกันหมดแหละกับเรา ถ้าเราสวดเมื่อไหร่ อาจจะงงนะฮะ ใครที่ทำเป็นนะฮะ ใครที่เข้าใจเรื่องเนี้ย มันต้องศึกษานะฮะ ตั้งใจศึกษานะฮะ ต้องดูนะฮะ มันจะได้ไม่สงสัยนะฮะ มันจะได้ มันทำให้เราไม่ขี้เกียจนะฮะเหนี่ยะมันทำให้เราไม่ขี้เกียจ เวลาไปสวดที่วัดไหนเนี่ยะเราน้อมไปเปลี่ยนพระในวัดนั่นแหละสวดกับเราหมดแหละ ไม่ใช่พระเป็นๆ นะฮะ พระพุทธรูปทั้งหมดนั่นแหละ จะเป็นรูปลักษณ์ของเทวดา รูปของพระสงฆ์ หรือจะเป็นภาพนั่นแหละ สวดกับเราหมดแหละ แต่น้อมที่หลวงปู่ก่อนนะฮะ น้อมถึงหลวงพ่อนะฮะ
แม่ชี : ก็เหมือนกับที่หลวงตาเคยบอก เวลาที่หลวงตาให้พร หลวงตาก็อธิษฐานให้พระพุทธรูปทุกองค์เนี่ยะมาให้พระ
หลวงตา : ถูกต้อง
แม่ชี : โดยพร้อมกัน
หลวงตา : ถูก สมัยท่านก็ยังนั้นหน่ะ สมัยหลวงพ่อยังอยู่นะ อ้าวให้พรด้วยกันเน้อ ทุกๆองค์หนะ จะเป็นรูปท่านเนี่ยะ ที่เราตั้งเรียงๆ ๆ อะ รูปท่านกับรูปหลวงปู่ทวด หรือ จักรพรรดิอะอ้าวให้พรด้วยกันอะ อ้าวพวกเอ็งดูให้พรมาจากไหนประมาณนั้นหน่ะ เข้าใจมั้ย สวดมนต์จะได้ไม่ขี้เกียจ เพราะสวดทุกครั้งเนี่ยะ พลังงานก็มากับเราทุกครั้งมันก็ไปตามรูปลักษณ์ทั้งหมดเนี่ยะ เราเป็นตัวสื่อนะ เรามีรูปมีนาม เราเนี่ยะสำคัญที่สุดเลย มันเป็นศาสตร์ของโพธิสัตว์เค้า มันเป็นการ มันเป็นการสร้างบารมีที่เร็วที่สุดแล้ว มันเป็นการสร้างบารมีที่เร็วที่สุดแล้ว พูดถึงอะ ถ้าเราเจอโพธิโพธิสัตว์ที่ท่านมีบารมีมากก็คือเต็มแล้วนี่ถ้าเราเข้าใจมันก็จะไว ชาติหนึ่งเก็บไปเยอะ ท่านก็ท่านว่ายังงั้นนะ เก็บได้มาก มาก เพราะรูปลักษณ์ของท่านมันมีมาก เราก็ไปอยู่กับท่านด้วยไง ตามรูปลักษณ์
แม่ชี : หลวงตามีคนสงสัยเกี่ยวกับกระแสขององค์อย่างเช่น หลวงปู่ทวดค่ะ ที่สร้างมา ระหว่างผ่านพิธีปลุกเสก กับยังไม่ได้ปลุกเสกเลยเนี่ยะค่ะ จะมีเทวดาคุ้มครองเหมือนกันมั้ยค่ะ
หลวงตา : มี มี ที่ปลุกเสกก็มีพลังงานของคนที่ปลุกเสกเข้าไปด้วย ที่ไม่ปลุกเสก็คือมีบารมีของหลวงปู่ล้วนๆ (หัวเราะ) ที่ปลุกเสกก็คือคนที่ปลุกเสกฉลาดหน่อยไง อัญเชิญเทพพรหมทั้งหลายมาฝากไปด้วย คือ มัน มัน มันอยู่ที่คนเพิ่มที่คนเนี่ย มันมากตรงที่คนอธิษฐานนั้นหน่ะ คนที่อธิษฐานในการปลุกเสกไรเนี่ยะ เข้าใจมั้ย ก็เหมือนเราหล่อพระนะ เราหล่อคนเดียวก็บารมีหลวงปู่ หรือ บารมีของพระที่เราหล่อนะมันก็เต็มอยู่แล้ว แต่เราอะเข้าไปด้วย แต่ถ้าเราหล่อสักสิบคนหน่ะ มันก็รวมอยู่ตรงนี้นด้วยไง เข้าใจมั้ย ก็เหมือนเราไปหล่อพระนั้นหน่ะ หลาย ๆ คนนั้นหน่ะ น้อม นึก เข้าไป บารมีเราก็อยู่ตรงกับพระนั้นหล่ะ เวลาเราตายไป ฮ่ะๆๆ (หัวเราะ) เห็นพระเรา (หัวเราะ) ก็สว่างกับพระนั่นหน่ะ ก็มาที่เรา โลกวิญญาณที่เราพราะที่เราหล่อนั่นหน่ะ มันก็เป็น เป็นการบันทึก บันทึกนะฮะ เข้าใจมั้ย เป็นการบันทึกภาพ บันทึกภาพ เรา เรา เราที่ที่ทำ สมมุติว่าหล่อหลวงปู่เนี่ยะ หลวงปู่ทวดเนี่ยะนะ มีคนหล่อเยอะแยะไป ปรัมพิธียังไง คนมายังไง คนใส่ชุดไหนเนี่ยะ มันเป็นภาพอยู่ที่ท่านหมดเลย ภาพอยู่ที่หลวงปู่หน่ะ องค์เล็ก ๆ องค์น้อยที่เค้ากองไว้เต็ม (เสียงสูง ) หมดเลยหน่ะ สมัยโน้นนะ เอาเอ็งลองดูสิพิธีเค้าเป็นยังไง พิธีมันก็อยู่ในเหรียญนั้นแหละ เหรียญที่กองนะเอามาเหรียญเดียว บันทึกภาพไปในนั้นด้วยนะ อาจจะอาจจะสงสัยนะฮะ คนส่วนใหญ่จะสงสัยเพราะว่ามันเป็นสื่อไม่มีใครอธิบายเข้าใจมั้ย ไม่มีใครพิสูจน์ มันก็เลยไม่รู้ ไม่มีใครอธิบาย ก็นี่ไงอธิบายอยู่นี้ไง
ลูกศิษย์ : หัวเราะ
หลวงตา : แล้วพระ ที่เรา ที่ ที่ อธิษฐานในอดีต ถึง ปัจจุบันเนี่ยะ มันอยู่ที่บารมีของการบรรจุพระ เค้าอัญเชิญบารมีใครอะมันอยู่ตรงนั้น แล้วก็อธิษฐานเรื่องอะไรนั่นหน่ะ
แม่ชี : แล้วบารมีใครใหญ่สุดค่ะ
หลวงตา : ฮ่าๆๆ โพธิสัตว์ที่เต็มแล้ว พร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนั่นหล่ะ ใหญ่สุดเลย อยู่หัวหน้าเลย อยู่หัวแถวเลย ลองลงมาก็ไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ เค้าไม่ให้อยู่หัวแถวแล้ว (หัวเราะ) ไม่เกิดแล้ว
แม่ชี : ไม่เกิดแล้ว
หลวงตา : พระพุทธเจ้าก็ไม่มีแล้ว มีแต่องค์ต่อไปหน่ะนั่งอยู่บารมีรวมไปแล้วฮะ ไม่มีแล้ว เรียบร้อยแล้ว
แม่ชี : การที่ทำบุญยิ่งเป็นลูกรักของหลวงปู่นี่ค่ะ เอ่อ เวลาอธิษฐานแล้วชอบได้โชคได้ลาภนี่ค่ะ เป็นเพราะเทวดา หรือ ผี มาช่วยหรือป่าวค่ะ
หลวงตา : เราอันแหละ
แม่ชี : บุญเราช่วย
หลวงตา : อืม บุญเราส่วนหนึ่ง บุญเทวดา หรือ หลวงปู่ หลวงปู่ท่านเป็นเทวดานะตอนเนี้ยะ หลวงปู่ดู่นะเป็นเทวดา เอ้าทำไมอะ
แม่ชี : แล้วถ้าเราอยากขอ
หลวงตา : ขออะไร
แม่ชี : ขอในสิ่งที่กำลังอยากจะให้สำเร็จล่ะค่ะ
หลวงตา : ได้ขอได้ถ้าท่านช่วยก็ช่วยได้ ท่าน ท่านช่วยได้ตามกรรมเราอะ หนักก็เป็นเบา เบาก็หายนะ แต่ไม่รู้นะตอนที่อยู่กับท่านหน่ะ ท่านบอกช่วยครึ่งหนึ่ง เอ็งครึ่งหนึ่ง ก็แล้วกัน ฮึๆๆ
แม่ชี : ต้องพยายามเองด้วยครึ่งหนึ่ง
หลวงตา : อ้าว เอ็งครึ่ง ข้าก็ครึ่งหนึ่งอะ คนละครึ่งอะ
แม่ชี : ถ้าจะอธิษฐานให้มีโชคตลอดไปเลยได้มั้ยค่ะ
หลวงตา : ทำบุญทุกวัน อธิษฐานทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน แผ่เมตตาทุกวันได้ทุกวันว่างั้น
แม่ชี : การอธิษฐานนี้ค่ะ ต้องทำบุญก่อนแล้วค่อยอธิษฐานมั้ยค่ะ หรือ อยู่ดี ๆ ก็อธิษฐานได้เลยค่ะ
หลวงตา : อธิษฐานเรื่องอะไรอะ ข้าพเจ้าจะยิ้มทุกวัน นี่ก็คือการอธิษฐาน อืม จะอารมณ์ดีทุกวัน นี่คือการอธิษฐาน ข้าพเจ้าจะใส่บาตรทำทายทุกวัน นี่คือการอธิษฐาน ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นพระอรหันต์ นี่คือการอธิษฐาน ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นพระปัจจเก เป็นโพธิสัตว์ อะไรก็ว่าไป คือ อธิษฐาน อธิษฐานแล้วทำนะ เพราะอธิษฐานทุกวัน แล้วทำทุกวันด้วย อธิษฐานสิบอย่าง ก็ทำสิบอย่างนั้นหน่ะ อย่างไหนได้แล้วก็เพิ่มใหม่ หรือลดลงก็ได้ ฮึๆๆ ได้แล้วแล้วก็แล้วไปพวกเนี่ยะ เข้าใจมั้ยเนี่ยะ ประมาณนั้นแหละ
แม่ชี : แล้วบางท่านมีความรู้สึกอยากจะบวชตั้งแต่เด็กเนี้ยะละค่ะ
หลวงตา : เออบวชรีบบวชเถอะฮะ เดี๋ยวแก่จะไม่ได้บวช ถ้าอยากอะรีบ มันแล้วแต่อารมณ์ จริงๆ หายอยากแล้วไม่ทำแล้ว ฮะๆ ไม่อยากแล้ว เข้าใจมั้ย เอ่อ ๆ ต้องทำตอนที่อยากนั้นหล่ะ
แม่ชี : หลวงตา แม้หลวงปู่ หลวงปู่ดู่นะค่ะ ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้งเนี่ยะ เราก็ยังสามารถน้อมบารมีของท่านมาใช้ประโยชน์ได้ใช่มั้ยค่ะ
หลวงตา : ได้สิ ก็ยังคุยกันได้เลย แต่ละชาติเดี๋ยวนี้ยังคุยกันได้เลย อัญเชิญท่านมาทุกชาติยังได้เลยเรียงเป็นแถวยังได้เลย บารมีท่านยังไม่รวมนี่ อาจจะงงนะฮะ อย่าเพิ่งงง สวดไปเรื่อยเดี๋ยวจะไม่งง (หัวเราะ) อาจจะเอาเมื่อวานนี้ที่เราทำอะไรไว้ ก็วันนี้เอามาคุยกันก็ได้ เมื่อวานเราทำอะไรไว้อะ ทำกรรมอะไรไว้แล้ววันนี้ทำอะไรไว้หน่ะ เมื่อวานกับวันนี้ตัวเรานี่มาคุยกันได้เลย เข้าใจมั้ย อืม ไม่ต้องงงหรอก งง มันมาอยู่แล้ว ไม่ต้อง งง หรอก มันเหมือนกับ เรา คนเดียวมันมีทั้งอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมดเลย ที่ท่านบอกว่า จิตมีเป็นร้อยดวง หน่ะอันนี้แหละไอ้ความคิดนี่แหละ กรรมนี่แหละ มันเป็นร้อย หลาย ๆ ร้อย มันก็คิด เออ อย่าเพิ่งนะ ตรงนี่ โน่น นี่ นั่น ฮู้ เยอะแยะไปหมดเลย หยุดมัน อย่าไปคิด มันเถียงกันไปเถียงกันมาอยู่นั่นหน่ะ เคยเถียงกันมั้ยล่ะ ตัวเองอะ ประมาณนั่นหน่ะ นั่นหน่ะ คือ ภพชาติแหละ ฮึๆ ภพชาติแต่ละวันมันเถียงกันนั่นหน่ะ ฮะๆๆ
คิดดูสิบารมีโพธิสัตว์เยอะแยะแต่ละชาติท่านทำอะไรมั้งหล่ะ ความดีท่านหมดแล้ว อีกชาติหนึ่ง อีกชาติหนึ่งไม่คุยกันได้รู้ไปดิ ธรรมชาติจะแล้วจะงงนะ นึกไปนึกมาเอ้งงแฮะ อย่าไปงง เอาตัวเองเป็นหลักนี่แหละ ที่มีบุญน้อยๆ มีบาปไม่ค่อยมากอะไรพวกนี้แหละ มันยังเถียงกันเล้ย
ศิษย์ : หลวงตาค่ะอย่างเราไปวัดหลวงปู่ดู่อะค่ะที่สะแกแล้วเราเราไหว้ท่านเงี้ยค่ะแล้วเราคุยกับท่านแล้วเราเกิดอาการขนลุกนี้เราเป็นเพราะอะไรค่ะ
หลวงตา : มันเป็นปิตินะขนลุกอะ
ลูกศิษย์ : หรือว่าหนูอุปทานไปเอง
หลวงตา : ไม่นะ คนที่ไปวัดสะแกส่วนใหญ่เนี่ยะนั่งคุยกับท่านเป็นชั่วโมงนะ
ลูกศิษย์ : คุยกับรูปท่าน
หลวงตา : ท่านยังอยู่นะ อยู่ทั่ว ๆ ไป ตามรูปเนี่ย รูปเนี่ยะท่านก็อยู่ คุยได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องหวยนะฮะ
ลูกศิษย์ : หัวเราะ อาจจะคลาดเคลื่อน
หลวงตา : อาจจะคลาดเคลื่อนไปมั้งอะไรพวกเนี่ยะ นอกจากเรามีโชคแล้วท่านก็จะบอกอยู่นะฮะ
แม่ชี : หลวงตามีมั้ยค่ะที่พอทำบุญเนี่ยะเราอุทิศบุญกุศลให้กับพระโพธิสัตว์หรือหลวงปู่นี้ค่ะ
หลวงตา : ได้อยู่แล้วฮะ เหมือนกับเอาหิ่งห้อยใส่ แผ่ไปที่พระอาทิตย์นั่นหน่ะประมาณนั้นหน่ะ มันก็จะเข้าไปในพระทิตย์
แม่ชี : ท่านมีบุญเยอะอยู่แล้ว
หลวงตา : อ้าว มันก็ เราอยู่ในนั้นด้วยไง เราแผ่ให้ท่าน เราก็อยู่กับท่านด้วยไง ไม่ดีเหรอ
แม่ชี : เป็นส่วนหนึ่ง
หลวงตา : อ้าว ก็ถูกแล้วหล่ะ อย่างน้อย ๆ เราก็เป็นหิ่งห้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
ลูกศิษย์ : หลวงตาค่ะ เวลาเราทำบุญแล้วอธิษฐานให้กับคนทุกข์นี่
หลวงตา : ไม่ได้หรอกนะVt
ลูกศิษย์ : ไม่ได้
หลวงตา : ยกเว้นสวดมนต์ ยกเว้นกรรมฐาน ทุกข์มันเกิดที่จิต เกิดที่กรรม เลยต้องยึดที่กรรม ต้องล้างที่กรรม ที่ใจอย่างเดียวเลย จะไป
ลูกศิษย์ : ยึดที่จิตอย่างเดียว
หลวงตา : ถูกต้อง จะไปให้ทาน จะไปอะไรมันไม่มีทาง ฝึกกรรมฐานอย่างเดียวเลย ไม่รู้อะ กูลืมมึงเมื่อไหร่กูก็ไปเมื่อนั้นหน่ะ ฮ่ะๆๆ มึงไม่มาเมื่อไหร่กูก็สบายเมื่อนั้นหน่ะ อะไรประมาณนี้ ฮะๆๆ เสร็จแล้วจิตมันพัฒนาไปเรื่อยๆแล้วก็ไม่เกิดเองนะ
แม่ชี : จะพ้นทุกข์ต้องฝึกกรรมฐาน
หลวงตา : เออ มันทุกข์ที่ไหนหล่ะ ตอนทุกข์อะ
แม่ชี : ที่ใจ
หลวงตา : อ้าวก็ทุกข์อะ ก็ถูกแล้วฮะ ก็ถ้าจิตไม่ทุกข์ มันก็ มันก็ไม่ทุกข์แล้ว
แม่ชี : เพราะจะออกจากทุกข์ ทุก ๆ เรื่อง ต้องฝึกกรรมฐาน
หลวงตา : ถู้ก (เสียงสูง) กรรม คือ การกระทำ ฐาน คือ จิต ฝึกจิตอย่างเดี้ยวเล้ย (เสียงสูง) ที่มีเรื่องมีราวกันนี่ คือ ไม่ได้ทำกรรมฐานฮะ เพราะกรรมฐานนี่จะไม่มีการทุกข์ จะใหญ่แค่ไหนก็ไม่ทุกข์ ที่มีเรื่องกันทุกวันนี้กรรมฐานยังไม่ ยังติดอยู่ ยังติดไอ้พวกนี้อยู่ไง มันก็ทุกข์ ที่กันทุกวันนี่อะ ถ้าคนปล่อยมันก็ไม่ทุกข์ ถ้าปล่อยมันก็ไม่ทุกข์ ใช่มั้ย ถ้าไม่ปล่อยมันก็ทุกข์อะ นะ ลองมีเยอะๆ แล้วปล่อย ปล่อยมันไปมันจะทุกข์มั้ย ไม่มัก็ปล่อย ฮ่าๆๆๆ มีก็ปล่อย มันจะไปยึดอะไร ที่บอกยึดๆๆ หมายถึงว่าจิตมันยังมีความยึด ยึดในสิ่งที่เรา เราพอใจนั่นแหละ และมันจึงมีเรื่องทุกวันแหละ พอใจ อีกคนพอใจอย่างนี้ อีกคนพอใจอีกอย่างหล่ะ มันก็เลย ถ้าหมดพวกนี้ ไม่มี ชี้ได้เลย เห็นชัดๆ เลย จริงมั้ยหล่ะ เอ้อ อ้าวก็เห็น ๆ อยู่อะ สภาพสังคมมันเด่นเห็นชัดๆ เลย หรือไม่เห็น หรือไม่มีตา ท่านถึง ท่านถึงเรียกว่า ตากระทู้หูกระทะอะไรพวกเนี่ยะหล่ะ พวกไม่รู้เรื่องอะไร มันเป็นตากระทะ กระทะ ตากระทู้หูกระทะอะไรพวกเนี่ยะ มันไม่รู้รสอะไรเลย ฮ่าๆๆ ทำทุกอย่างประมาณนั้นแหละ ถ้าจะมาพูดจริงๆ นะ แค่สวดมนต์ก็โอเคแล้วมันเป็นฐานฮะ ช่างมันเฮ้อ อย่าไปยึดอะไรกับมันนักหนาเลยนะ พูดถึงนะ อืม ทุกข์ตุ มีความทุกข์มากเลย คน
แม่ชี : ถ้าไม่มีทุกข์เราก็ดีใช่มั้ยค่ะ
หลวงตา : อ้าว ก็มีจะห่างๆ ไปบ้างสิ อย่าไปอมมันไว้นาน ปล่อยๆมันมั่ง มันมาใหม่ก็ปล่อยมันหน่ะ ระยะเวลาเท่าไหร่ก็ปล่อยมัน ฮ่ะๆๆ ไปอมมันไว้
ลูกศิษย์ : ปล่อยมันไป
หลวงตา : ใช่ ยังต้องการอะไรในชีวิตอะ มันต้องการอาหารนะแค่นั้น สำหรับธาตุ ธาตุยังต้องการอาหาร ถ้าไม่กินอาหาร จิตมันก็ควบคุมไม่ได้ มันก็ทำความดี ความไม่ดีไม่ได้ ใช่มั้ยหล่ะ อาหารที่ท่านว่าหน่ะ ประมาณนั้นหน่ะ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค มันถึงจะได้ฝึกได้ ธาตุขันธ์ไม่ดีลำบาก ก็ฝึกลำบากอีก แค่ปวดหัวนี้ก็ยังลำบากแล้วหล่ะ จะไปสวดมนต์ก็ไม่ได้แล้ว ปวดหัวอะ ต้องระวังมันไง ระวังธาตุ
ลูกศิษย์ : แล้วบางคนเวลาสวดจักรพรรดิแล้วปวดหัวเกิดจากอะไรค่ะ
หลวงตา : เกิดจากกรรม
ลูกศิษย์ : เกิดจากกรรม
หลวงตา : กรรมเกี่ยวกับเรื่องหัว ต้องสวดให้หายนะฮะ ถ้าสวดมนต์แล้วปวดหัวมีเหรอ ต้องมีอะไรสักอย่างแล้วหล่ะ ไม่ใช่ สวด นะโมพุทธายะ แล้วปวดหัวขึ้นมานี้ แสดงว่ากรรมเรื่องหัวแล้ว ถ้าไม่สวดให้หัวมันหายนี่อะนะ อนาคตหัวจะมีปัญหา อ้าวนี่เรื่องจริงนะฮะ ถ้าไม่สังเกตนะฮะ บางคนเวลาสวดมนต์แล้วมันจะมีจี๊ดๆข้างใน พอสวดไปนาน ๆ มันจี๊ด ๆ อะไรเงี้ยะ ต้องสวดให้มันหยุด เพราะกรรมที่เราทำอะ ใน ๆ ๆ อดีต มันทำทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นะฮะ เมื่อเรามาสวดมนต์มันย้อนฮะ ย้อนอดีต ย้อนไปปัจุบันนะ มันย้อน แล้วมันไปอนาคตด้วย โดยเฉพาะกรรมฐานที่หลวงพ่อท่านให้ฝึกหน่ะมันเป็นการล้างมันหน่ะ ล้างอดีต ไปอนาคต